พูดถึงเรื่องใต้ตาคล้ำ ถุงใต้ตา หลายคนมีปัญหาบ่อยมาก จนตอบแล้วตอบอีก เลยทำให้อ่านเลย 🙂 ไวดี ส่วนตัวใต้ตาคล้ำมากช่วงเวลาที่ใช้ดวงตาหนัก ไม่หลับไม่นอน เหี่ยวบ้าง แอบขยี้แรงๆบ้าง ต่อไปไม่ทำแล้ว ดูในรูปสิมีเหี่ยวๆละ ฮ่า
เพราะผิวหนังใต้ตาเป็นบริเวณที่บางที่สุดในร่างกาย และยังไม่มีต่อมไขมันที่จะคอยหลั่งไขมัน ( sebum ) เพื่อรักษาความชุ่มชื้น จึงมีแน้วโน้มที่จะแห้งกร้านง่ายกว่าผิวบริเวณอื่นๆ อีกด้วย จึงต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
เอาละ มาเข้าใจถึงสาเหตุกันดีกว่า ครีมตัวไหนใช้ดีใช้เหมาะคงบอกไม่ได้ ต้องไปหารีวิวกันเอง และ สังเกตุส่วนผสมที่กำลังจะให้สังเกตุค่ะ ..
สาเหตุการเกิดรอยคล้ำรอบดวงตา
3 ข้อหลักๆ
- โครงสร้างของกระดูกหน้า คนที่โหนกแก้มสูง และตาลึก มักจะมีปัญหาผิวหนังบริเวณใต้ตายุบลงไปนิดหน่อย ทำให้เห็นเป็นรอยเขียวๆคล้ำใต้ตา ปัญหานี้แก้ไม่ค่อยได้เพราะว่าเป็นปัญหาของโครงสร้างกระดูกของหน้า
- กรรมพันธุ์ เป็นรอยคล้ำที่เป็นกรรมพันธุ์ แบบนี้หายได้
- หลอดเลือดใต้ตาขยายมากผิดปกติ ใต้ตาคนเรามีหลอดเลือดฝอยอยู่ ถ้ามันบวมมากไปก็จะเห็นคล้ำๆใต้ตา สาเหตุมีได้หลายสาเหตุ ตั้งแต่ ขาดธาตุเหล็ก หรือขาดสารอาหาร, นอนน้อย, นอนดึก , ใช้สายตาโหด , บุหรี่ , ชา-กาแฟ, ภูมิแพ้ , บางทีลดความอ้วนมากไป หลอดเลือดมันอยู่ของมันดีๆ แต่ว่าไขมันบริเวณนั้นน้อยลงมันก็เลยเห็นชัดขึ้น ,สูบบุหรี่ , มีถุงใต้ตาเยอะไปเวลาเจอเงาทำให้เหมือนดวงตาคล้ำ ฯลฯ
วิธีแก้ไข
ถ้าเป็นเพราะสาเหตุที่ 1. ใช้วิธีปกปิด ถ้าเป็นตาคล้ำเพราะว่าโครงกระดูกหน้ารูปร่างเป็นแบบนั้น วิธีนี้จะเป็นวิธีแก้ทางเดียว คือหา concealer ที่เหมาะสมทาปิดเอา concealer ที่เหมาะสมก็จะเป็นสีเหลือง หรือเหลืองปนส้มอ่อนๆ เพื่อที่จะได้แก้สีเทาปนน้ำเงินปนม่วงของเงาใต้ตาน่ะค่ะ (ตาคล้ำสาเหตุอื่นใช้วิธีนี้แก้แบบชั่วคราวก่อนออกจากบ้านได้เช่นกัน)
ถ้าเป็นเพราะสาเหตุที่ 2. ใช้สารเคมี สำหรับคนที่ตาคล้ำแบบกรรมพันธุ์ หรือว่า hyper-pigmentation จะเป็นกลุ่มที่รักษาได้ง่ายที่สุดเพราะว่าสามารถทำให้รอยคล้ำนั้นหายไปได้ และ พวกครีมที่ขายตามห้าง หาง่ายๆ ส่วนมากจะใช้ได้ดีกับรอยคล้ำใต้ตาที่เกิดจาก hyper-pigmentation ส่วนใหญ่ รอยคล้ำที่เกิดจากสาเหตุอื่นๆ บางทีอาจจะใช้ไม่ได้ผลเพราะว่าต้นเหตุของการเกิดรอยคล้ำยังคงอยู่ เช่นนอนน้อย, ขาดสารอาหาร, ภูมิแพ้ ถ้าไม่รักษาที่ต้นตอ ต่อให้ครีมดีอย่างไรมันก็ไม่หายไป การแก้ไขแบบใช้สารเคมีนั้นก็เหมือนกับการใช้ whitening น่ะค่ะ คือใช้สารแบบที่หาซื้อได้เองและเป็นส่วนผสมอยู่ในครีมทาใต้ตาที่หาได้โดยทั่วไปก็คือ Arbutin / Kojic acid / AHA ฯลฯ
ถ้าเป็นเพราะสาเหตุที่ 3. ใช้เลเซอร์รักษา เหมาะกับคนที่เกิดรอยคล้ำใต้ตาเพราะว่าหลอดเลือดมันขยายมากไป และก็รักษาใต้ตาดำแบบที่เกิดจากเม็ดสีมากไปก็ได้ โดยการทำ laser บางตัวจะทำให้ผิวชั้นบนที่มีรอยคล้ำนั้นหลุดออกไป บางตัวก็ออกแบบมาเพื่อใช้กับเส้นเลือดฝอยๆ บางตัวก็ส่งผลทำลายเมลานินสีคล้ำบริเวณที่มันมีมากเกินไปทำให้ผิวหายมีสีดำ การรักษาด้วย เลเซอร์ ค่อนข้างจะแพง ไม่ใช่ว่าทำปุ๊บหายปั๊บ ต้องให้เวลาผิวฟื้นตัวด้วย ทำแล้วจะมีรอยแดงๆหลังทำไปสักพักแล้วแต่สุขภาพของคุณเองด้วยว่าฟื้นตัวเร็วแค่ไหนนะคะ ส่วนชนิดเลเซอร์มีมากมายหลายชนิด ตั้งแต่ Fractional Resurfacing – Fraxel Laser / IPL / ND YAG ส่วนจะเลือกใช้ชนิดไหนคงต้องขึ้นอยู่กับปัญหาสาเหตุที่แท้จริง โดยแพทย์จะเป็นผู้วินิจฉัยการเลือกชนิดของเลเซอร์ในการแก้ปัญหาเอง
หากใครพบสาเหตุที่แท้จริงก็รีบแก้ปัญหาที่ต้นตอซะ .. สำหรับส่วนผสมใน EYE CREAM ที่แพทย์แนะนำให้หัดสังเกตุจะมีในเรื่อง Vitamin K ที่ช่วยให้การไหลเวียนเลือดบริเวณใต้ดวงตาดีขึ้น / Vitamin C ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน ลดจำนวนเม็ดสีในผิวและเป็น Antioxidant ต่อต้านความเสื่อมโทรมต่างๆ/ Retinol ช่วยกระตุ้นคอลลาเจน/ Argireline ช่วยลดริ้วรอย เป็นต้น
หลายสาเหตุที่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง เช่น
- รอยคล้ำใต้ตาที่เป็นเพราะการนอนดึกบ่อยๆ หรือโหมทำงานหนัก หรือใช้สายตามากเกินไป ควรพักสายตาหากรู้สึกล้าหรือเริ่มแสบตา โดยเฉพาะถ้าทำงานที่ต้องใช้สายตาเพ่งด้วย ควรหยุดพักสายตาทุก 2 ชั่วโมง โดยการหลับตาหรือมองไปไกลๆสัก 5 – 10 นาที เพื่อคลายอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อตา
- หากเป็นภูมิแพ้หรือมีอาการคัดจมูกบ่อยๆ ควรหาสาเหตุหรือพบแพทย์ด้านภูมิแพ้ เมื่อรักษาจนอาการแพ้ต่างๆดีขึ้นแล้ว รอยคล้ำใต้ตาก็จะจางลงไปเอง
- คนที่ต้องออกแดดบ่อยๆ ควรใช้โลชั่นกันแดดเป็นประจำ หรือสวมแว่นกันแดดเพื่อช่วยปกป้องดวงตาและผิวรอบดวงตา เพราะนอกจากอายุแล้ว แสงแดดยังคงเป็นจำเลยที่หนึ่งของความเสื่อมโทรมของผิวทุกชนิดเสมอ
- อาจลองรักษาผิวใต้ตาเองด้วยวิธีง่ายๆเหมือนที่เคยเห็นในทีวี เช่น ฝานแตงกวาเย็นๆ หรือใช้ช้อนแช่เย็น มาปิดรอบดวงตาสัก 15 นาที แตงกวาซึ่งมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักมากกว่า 90% จะส่งผ่านความเย็นช่วยให้หลอดเลือดบริเวณใต้ตาหดตัว ลดการคั่งของน้ำและหลอดเลือดดำในผิวหนังได้ชั่วคราว นอกจากนี้แตงกวายังมี เอนไซม์, สารไกลโคไซด์ และกรดอะมิโนบางชนิด ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นและเพิ่มความสดชื่นให้กับผิวได้ทันที
ยี่ห้อไหนใช้ดีต้องไปหาอ่านส่วนผสม และ REVIEW กันตามเว็บนะจ๊ะ
แถมเว็บให้อีกที่นึง
สาเหตุการเกิดถุงใต้ตา
มี 2 อย่าง
- เกิดการสะสมของไขมันที่รอบดวงตา
- เกิดการสะสมน้ำอยู่บริเวณรอบดวงตา
อาการ : ปวดบริเวณเบ้าตา ปวดที่ต้นคอ รู้สึกดวงตาล้าเหนื่อย มีอาการตาแห้ง รอยดำคล้ำที่ตา หรืออาจมีรอยบวมเป็นถุงใต้ตาโปนออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน
การรักษา :
1. ผ่าตัดเอาถุงไขมันใต้ตาทิ้งไป แต่ไม่นานก็จะเริ่มเกิดการสะสมไขมันและน้ำขึ้นอีก ผิวค่อยๆอ่อนแอตามอายุที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีริ้วรอยหมองคล้ำเกิดขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
2. ฉีดBotulinum Toxin บริเวณใต้ตาเพื่อลดขนาดถุงใต้ตา ผลไม่ถาวร ต้องฉีดทุก 3-8 เดือน
3. ใช้เวชสำอางสกินแคร์ ที่มีสารโปรตีนอนุภาคเล็กอย่าง อะเซติลเตตราเปปไทด์ 5 ( Acetyl Tetrapeptide 5 ) มีคุณสมบัติช่วยชะลอ ความเสื่อม ช่วยกระตุ้นในการสร้างคอลลาเจน อีลาสติน เพราะจะช่วยลดรอยบวม รวมทั้งการเกิดถุง ใต้ตา และรอยคล้ำได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถปรับการไหลเวียนของโลหิตและน้ำเหลืองให้เกิดความสมดุล ขับถ่ายของเสียให้ออกไปจากเซลล์ผิวได้ ที่สำคัยคือ สามารถช่วยลดการสะสมไขมัน และน้ำที่เกิดขึ้นรอบๆดวงตาได้ผลเป็นอย่างดี
ในการดูแลถุงใต้ตา หมั่นหาวิธีนวดกดจุดดวงตาที่ถูกต้อง ใช้สายตาไม่หักโหมมาประกอบการรักษาขั้นต้น เพื่อเสริมให้ดวงตาแข็งแรง ไม่มีน้ำ และ ไขมันสะสมรอบดวงตาด้วยนะคะ
เรียบเรียงใหม่ – erk-erk.com
ที่มาข้อมูลกิตติมศักดิ์
– นพ.ธีระชัย วรัญญูรัตนะ, DSc&MSc.Dermatology(UK) แพทย์สยามเลเซอร์ คลินิก
– พ.ญ. พิสุทธิพร ฉ่ำใจ
– คุณ : รำเพย เจ้าของร้าน 2ndskinmineral