Categorized | BEAUTY TECHNOLOGY, LASER

BEAUTY TALK – แสงและความงามที่คุณควรรู้ประดับคลังความสวยไว้

 

เชื่อไหมว่าสีของแสง และ ความงามเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ?

 

 ได้แรงบันดาลใจแรกมาจากการเริ่มอยากรู้ถึงความสามารถของแสง LED ที่ฉายแสงสีเขียวเหลืองสลับกันทำไมถึงทำให้ขาว ขาวแบบทันทีหลังฉาย 20 นาที แต่ต้องฉายต่อเนื่องตลอด ทดสอบแล้วขาวกว่าเดิมเป็นเดือนเพียงแต่จะขาวที่สุดในวันแรก และ สีผิวค่อยๆกลับมาเป็นสีเดิม อันนี้ฉายจากเครื่องที่ ISKYCENTER

ทดสอบมา 1 ข้าง อยากรู้ว่าขาวได้นานแค่ไหนสรุปประมาณ 1 เดือน เครื่องนี้ต้องมีการรักษาทุกอาทิตย์ต่อเนื่องกันต่อเนื่องกันอย่างน้อย 5-10 ครั้ง และ มาทำซ้ำอีกเดือนละครั้งเพื่อรักษาสีผิวที่ฉายแล้วขาวไว้

จากการที่เห็นว่าแขนขาวขึ้นทันทีชัดเจนหลังการฉายแสงLED เลยทำให้เกิดอยากรู้เรื่องแสงและความงามขึ้น รวมถึงแรงบันดาลใจที่สอง อุปกรณ์มือถือที่เอามาฉายแสงกับหน้าที่บอกว่าฉายแล้วใบหน้าจะขาวขึ้น จุดด่างดำลดลง ผิวเต่งขึ้น  โดยเราซื้อมาเองว่ามันได้ผลเป็นอย่างไร คุณหมอรังสิมาเลยให้วิชาการ เรื่องแสงกับผิวพรรณซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานในการเลือกใช้เครื่องเลเซอร์ในการแก้ปัญหาผิวพรรณ อย่าเพิ่งถอดใจกันไปว่ามันยาก เราควรรู้จักไว้ประดับสมองหากยังต้องเลือกใช้วิธีนี้แก้ปัญหาผิว เราจะได้มีความรู้เพื่อช่วยตัดสินใจและพบกับผู้เชี่ยวชาญจริงๆโดยไม่ถูกหลอก ต่อจากนี้พวกเราจะไม่ต้องถาหมอแล้วว่าทำไมถึงใช้เลเซอร์ตัวนี้รักษาเรา แต่เราจะเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น ” คุณหมอคะเครื่องนี้ความยาวคลื่นอยู่ที่เท่าไหร่คะ ? ” หรือ แสงเลเซอร์ แสง LED ที่ใช้ สีอะไรคะ ? ไม่ยาก แค่รู้จักกันไว้ ว่าแสงมันเกี่ยวกับความงามในวงการแพทย์ยังไงพอ

 

การใช้แสง, แสงเลเซอร์, แสงIPL, แสงLED เพื่อทำให้เกิดผลกับผิวโดยมีจุดประสงค์ใช้แก้ไขปัญหาผิวพรรณต้องเข้าใจก่อนว่า แสงมีทั้ง แสงที่มองเห็น และ แสงที่มองไม่เห็น ในวงการผิวหนังเลเซอร์ แสงIPL แสงLEDจะใช้แสงที่มองเห็นเป็นหลักโดย แสงแต่ละสีจะมีความยาวคลื่นต่างกัน ถ้าดูจากรูปจะเห็นว่าแสงสีม่วงและฟ้า จะมีความยาวคลื่นสั้น ในขณะที่แสงสีส้มแดง จะมีความยาวคลื่นยาว แสงแต่ละสี หรือแสงแต่ละความยาวคลื่น จะส่งผลต่อผิวหนัง และทำให้เกิดผลการรักษาที่แตกต่างกันออกไป


 

 

 

 


แสงที่มองเห็นเริ่มตั้งแต่ช่วงความยาวคลื่นสั้นๆที่ 400 นาโนเมตร ไปถึงแสงช่วงความยาวที่สูง 700 นาโนเมตรขึ้นไป คือเริ่มตั้งแต่แสงสีม่วง คราม เหลือง เขียว น้ำเงิน แสด แดง(สีรุ้ง) แสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่า 400 นาโนเมตรจะเป็นแสงที่มองไม่เห็น ส่วนนี้จะเรียกว่า ULTRAVIOLET และแสงที่มีความยาวคลื่นยาวกว่า 700 นาโนเมตรก็จะเป็นแสงที่มองไม่เห็นเช่นเดียวกัน แต่ส่วนนี้จะเรียกว่า INFRARED

 

 

การจะใช้แสงมาช่วยในเรื่องความงามแก้ปัญหาผิวพรรณต้องมี ” การดูดซับแสง ” เข้ามาช่วยดูดพลังงานแสงเลเซอร์

สีแต่ละสีดูดซับแสง และ กระจายแสงต่างกัน ?
หลักการทั่วไป จะถือว่าสิ่งของที่มีสีใด จะดูดซับแสงทุกสีที่ไม่ใช่สีนั้นเอาไว้ในตัวมันเอง และกระจายแสงที่มีสีเดียวกับตัวมันเองออกมา
เช่น เสื้อที่มีสีฟ้า (หรือจะพูดให้ถูกคือ เสื้อที่เรามองเห็นว่าเป็นสีฟ้า)เมื่อมีแสงมากระทบเสื้อตัวนี้ เสื้อสีฟ้าจะดูดซับแสงทุกสี ยกเว้นสีฟ้า และกระจายสีฟ้าออกมาเข้าตาเราให้ตาเรามองเห็นเป็นสีฟ้า ดังนั้น สารทุกอย่างบนโลกนี้สามารถดูดซับแสงที่ความยาวคลื่นแสงต่างกัน หรือ ดูดซับสีได้ต่างกัน

 


 

เวลาที่เราจะใช้คลื่นความยาวแสง หรือ แสงแต่ละชนิดมาใช้ในการแก้ปัญหาผิวพรรณ
เราจำเป็นต้องรู้ว่า ภายในร่างกายเรานั้น มีอะไรสามารถดูดซับแสงได้บ้าง และ ดูดซับแสงที่ความยาวคลื่นเท่าไหร่กันบ้าง
เซลล์ภายในร่างกายที่สามารถดูดซับแสง (ดูที่กราฟ)
  1. เมลานิน = ลักษณะมีสีน้ำตาลดำอยู่ในร่างกายเป็นตัวกำหนดสีผิวคน 
  2. น้ำ = น้ำในร่างกายซึ่งอยู่ในเซลล์ผิวหนังกว่า 80% อยู่ชั้นบนๆตามชั้นขี้ไคลของผิวหนัง
  3. เม็ดเลือดที่มีสีแดง = อยู่ในเส้นเลือดแดงประกอบไปด้วยฮีโมโกลบิน มีออกซิเจน
  4. เม็ดเลือดที่มีสีแดงคล้ำ = อยู่ในเส้นเลือดแดงและดำ ไม่มีออกซิเจน 


เซลล์แต่ละชนิดจะมีความเฉพาะเจาะจงในการเลือกดูดซับพลังงานแสงที่ความยาวคลื่นแตกต่างกันออกไป

ช่น เม็ดสีเมลานิน MELANIN (เส้นสีน้ำตาล) ที่ผิว จะมีความชอบดูดซับพลังงานแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น มากกว่าพลังงานแสงที่มีความยาวคลื่นยาว ดังนั้นโรคหรือภาวะบางอย่างที่มีเม็ดสี MELANIN อยู่เยอะ เช่น กระ ฝ้า ถ้าเราต้องการจะรักษา ต้องเลือกใช้เครื่องเลเซอร์ที่ปล่อยพลังงานแสงความยาวคลื่นสั้นๆ เพราะจะถูกดูดซับได้ดีด้วย MELANIN – ลองนึกภาพตามนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมผิวเราจึงไวกับแสง UV ดูจากกราฟจะรู้ได้ทันทีเพราะเมลานินในผิวเรา ไวต่อการดูดซับแสงระดับความยาวคลื่นประมาณ UV ( ULTRA VIOLET)

 

เช่น เซลล์เม็ดเลือดที่อยู่ในเส้นเลือด (เส้นสีแดง) จะมีความสามารถในการดูดซับแสงที่มีความยาวคลื่นอยู่ในช่วงสีเหลือง ดังนั้นถ้าคนไข้มีโรคอะไรที่มีจุดสีแดง ๆ หรือมีเม็ดเลือดมาอยู่บริเวณนั้นมาก เช่น ปานแดง หรือรอยแดงสิวถ้าอยากจะรักษาก็ต้องเอาแสงสีเหลืองมาฉายลงบนผื่นหรือรอยแดงนั้น – จะเห็นได้ว่าทำไมถ้าต้องการรักษารอยสิวแดงๆ หมอจะใช้เลเซอร์ VBEAM เพราะว่า VBEAM จะปล่อยแสงที่มีพลังงานซึ่งอยู่ช่วงคลื่น 585-595นาโนเมตรซึ่งมีสีเหลืองจึงจะรักษาพวกเส้นเลือดสีแดงได้ดีที่สุด เพราะเส้นเลือดแดงสามารถดูดซับได้แต่แสงสีเหลืองเท่านั้น

 

เช่น น้ำจะอยู่ผิวหนังชั้นตื้น (เส้นสีฟ้า) จะเห็นจากกราฟว่า น้ำชอบดูดซับแสงที่ความยาวคลื่นยาว ๆ ถ้าเราอยากจะกรอผิวหนังออกไป ก็จะใช้เลเซอร์ERBIUM YAG หรือ CO2 เนื่องจากมีความยาวคลื่นยาว และถูกดูดซับได้ดีด้วยน้ำ – และเมื่อเซลล์ผิวหนังชั้นตื้นมีน้ำอยู่เยอะ พอยิงเลเซอร์กลุ่มนี้ลงไป น้ำจะดูดซับพลังงานเลเซอร์เอาไว้ ทำให้เกิดการทำลายเซลล์หรือกรอเซลล์ผิวหนังชั้นบนออกไปได้นั่นเอง(ควรศึกษาผลข้างเคียงเพิ่มเติม)

 

เช่น คอลลาเจนซึ่งอยู่ใต้ผิวหนังลงไป ก็จะมีน้ำอยู่เยอะเช่นกัน ดังนั้นถ้าเราต้องการกระตุ้นคอลลาเจนให้หดตัว ทำให้หน้าเด้ง หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ก็ต้องใช้แสงเลเซอร์ที่มีความยาวคลื่นสูง ๆ เช่นกัน เพื่อให้น้ำในคอลลาเจนดูดซับพลังงานแสงเลเซอร์เอาไว้ และไปกระตุ้นคอลลาเจนต่ออีกที – จึงเลือกแสงสีแดงที่มีความยาวคลื่นยาวมาก ๆ ขึ้นไป เช่น LED ฉายแสงสีแดง กระตุ้นคอลลาเจนด้วยแสง ทำให้เกิดความร้อน คอลลาเจนก็จะเด้งดึ๋ง

 

อีกภาพมาดูว่าแสงแต่ละช่วงคลื่นแก้ปัญหาผิวหนังอะไรกันบ้าง ?

 

ปัจจุบัน ยังไม่มีเทคโนโลยีเลเซอร์ครบทุกคลื่นความยาวแสง เพราะว่าแหล่งที่มาของแสงมันยังยากต่อการพบ จึงมีแค่บางช่วง

 

การใช้แสงเลเซอร์ทำไมจึงได้ผล เพราะเป็นแสงช่วงแคบเข้มข้นสูงที่ต้องยิงให้ได้พลังงานและความแรงในหน่วยเป็นจูลส์ / ตารางเซนติเมตรบนผิว ถึงจะเห็นผล ความเข้มข้นแสงต้องเป๊ะ แม่นยำ วัดออกมาได้ระดับนาโนเมตรที่เท่ากันทุกครั้ง เปรียบเสมือน น้ำอุ่นๆ จะใช้ชงหรือต้มอะไรก็ไม่สุก เพราะไม่ใช่น้ำเดือด และ ต้องเป็นความแรงที่เหมาะสมพอดีกับการดูดซับของของเหลวภายในร่างกายที่สามารถดูดซับได้ จะได้เกิดผลรักษาและไม่มีผลข้างเคียง

 

*** ข้อสำคัญที่เราต้องรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ปัจจุบันนี้เครื่องเลเซอร์แต่ละเครื่อง จะปล่อยพลังงานที่ความยาวคลื่นเพียงความยาวคลื่นค่าเดียว หรือเป็นแสงสีเดียวเท่านั้นเลเซอร์แต่ละเครื่องจึงมีความเฉพาะเจาะจงในการรักษาภาวะทางผิวหนังได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่น เลเซอร์สำหรับรักษาเม็ดสี ก็จะปล่อยพลังงานที่ถูกดูดซับได้ดีด้วย MALANIN จึงใช้รักษากระ จุดด่างดำต่าง ๆ ได้ดี แต่ไม่สามารถนำเลเซอร์สำหรับเม็ดสีนี้ไปรักษาปานแดง หรือรอยแดงสิวได้ เพราะแสงที่ถูกดูดซับได้ดีด้วย Melanin ไม่ได้ถูกดูดซับได้โดยเม็ดเลือด หรือจุดแดงได้ จึงใช้ไม่ได้ผล ถ้าอยากรักษาปานแดง หรือรอยแดงสิว ก็ต้องไปเลือกใช้เลเซอร์สำหรับรักษาเม็ดเลือดหรือเส้นเลือดแทน เพราะจะปล่อยแสงสีเหลือง ซึ่งถูกดูดซับได้ดีด้วยเซลล์เม็ดเลือดนั่นเอง ดังนั้นถ้ามีใครมาบอกว่าเครื่องเลเซอร์เครื่องนี้เครื่องเดียว รักษาได้ทุกโรค จึงเป็นไปไม่ได้แน่นอน

 

ล่าสุดหลุมตื้นๆบนผิวหนังของเอิ๊กซึ่งอุดมไปด้วยน้ำ จึงถูกทำการรักษาจากศาสตราจารย์ วรพงษ์ ด้วย ERBIUM YAG ซึ่งมีความยาวคลื่นอยู่ที่ 2,940 นาโนเมตร ทำให้น้ำซึ่งอยู่บริเวณผิวหนังชั้นตื้นดูดซับได้ดี สามารถกรอผิวด้านบนออกเท่านั้น และไม่เกิดผลข้างเคียงที่ผิวหนังชั้นลึก
คราวหน้ามาต่อกันที่แสง LED กับความงาม
<3
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
อาจารย์นักเรียนแพทย์โรงพยาบาลศิริราช ผู้ช่วยศาสตราจารย์ รังสิมา วณิชภักดีเดชา

2 Responses to “BEAUTY TALK – แสงและความงามที่คุณควรรู้ประดับคลังความสวยไว้”

Trackbacks/Pingbacks

  1. […] วันนี้เราจะพูดถึงการฉายแสงสี LED เพื่อรักษาปัญหาผิวพรรณ จากบทความก่อนเป็นเรื่องของแสงและความงามไปแล้ว พูดถึงภายในร่างกายของเราเซลล์บางอย่างสามารถดูดรับพลังงานแสงแต่ละสีได้เพื่อใช้รักษาปัญหาผิวหนัง CLICK […]

  2. […] วันนี้เราจะพูดถึงการฉายแสงสี LED เพื่อรักษาปัญหาผิวพรรณ จากบทความก่อนเป็นเรื่องของแสงและความงามไปแล้ว พูดถึงภายในร่างกายของเราเซลล์บางอย่างสามารถดูดรับพลังงานแสงแต่ละสีได้เพื่อใช้รักษาปัญหาผิวหนัง CLICK […]


Leave a Reply

You must be logged in to post a comment.

advert

Google

erk-erk.com





BEAUTY MENU

มาคุยกับเอิ๊กได้ที่นี่ทุกวัน ถ้าว่างรีบตอบทุกคำถามค่ะ

INSTAGRAM @wwwerkerkcom

[instagram-feed]

ติดตามบล็อค erk-erk.com อย่างใกล้ชิด

เพียงกรอก Email ตรงนี้เลย

LINE @erk-erk

เพิ่มเพื่อน

Related Sites